Value Way ฉบับวันที่ 21 กันยายน 2552
คิดอย่างวอร์เรน บัฟเฟต วอร์เรน
บัฟเฟตใฟ้สัมภาษณ์ ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 กันยายน
ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมุมมอง ต่อภาวะปัจจุบัน
ของวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่น่าสนใจติดตาม
ว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในช่วงเวลานี้
ถาม: ตอนนี้ หลายคน บอกว่าภาวะเศรษฐกิจ
ถดถอย ของสหรัฐอเมริกา ได้จบลงแล้ว
คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง
บัฟเฟต : ผมคงไม่รู้คำตอบ ของคำถามนี้
เพราะผมไม่ใช่กูรู ทางด้านเศรษฐศาสตร์
ที่แท้จริง ผมไม่ค่อยได้กังวล ในเรื่องของเศรษฐกิจ
สักเท่าไหร่ จริงๆแล้ว เราเพิ่งซื้อหุ้นเมื่อเช้านี้เอง
แต่เราซื้อหุ้น ไม่ใช่เพราะคิดว่า เรากำลังจะ
หลุดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในอีกสามเดือนหกเดือน
หรือหนึ่งปีข้างหน้า เราซื้อหุ้นเพราะมันมีมูลค่าที่ดี
ในระยะยาว ผมว่าข้อผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่
คือมักจะสนใจ ในการทำนายผลประกอบการของบริษัท
มากกว่าสนใจในมูลค่าที่แท้จริง สำหรับธุรกิจของเบริคไชน์แล้ว
เรายังมองไม่เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจ แต่ขณะเดียวกัน
ก็ไม่มีสัญญานของการถดถอยเพิ่มขึ้น
ถาม: แสดงว่าคุณยังไม่เห็นสัญญานการฟื้นตัว
ของธุรกิจของเบริ์คไชน์ตั้งแต่ธุรกิจเสื้อผ้า
เฟอร์นิเจอร์จนถึงธุรกิจประกันใช่ไหม
บัฟเฟต : ใช่ เรายังไม่เห็น การฟื้นตัวของธุรกิจเหล่านี้
ยกเว้น ตลาดของอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายของธุรกิจอื่นๆ
ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ถาม: คุณคิดว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจทรงตัวใช่ไหม
บัฟเฟต : เราไม่รู้หรอกว่า เมื่อไหร่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว
ขึ้นมากกว่านี้ ตลาดอสังหาตอนนี้ดูดีกว่าปีที่แล้ว
ยอดขายพรมของเราดีขึ้น แต่ยอดขายเฟอร์นิเจอร์
ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย
ถาม: วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เลห์แมน บราเดอร์
ล้มละลาย คุณคิดว่า เราได้บทเรียนอะไร
จากวิกฤติคราวนี้บ้าง
บัฟเฟต : เราประสบปัญหาฟองสบู่ขนาดยักษ์
ในตลาดอสังหาริมทรัพย์์และส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ผู้คนอยู่ในความเพ้อฝันที่ว่าราคาบ้านมีแต่จะเพิ่มขึ้น
รวมถึงคนในวงการธนาคารและประกันด้วย
แต่ก่อนเราเคยคิดกันว่าเมื่อสถาบันการเงินขนาดใหญ่
สักแห่งล้มลงจะเกิด”ปรากฏการณ์โดมิโน”
และปีที่แล้วเหตุการณ์โดมิโนได้เกิดขึ้นจริงๆ
และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นในอนาคต
เราควรจะมีระบบ ที่คอยควบคุม ให้ผู้บริหาร
สถาบันการเงินเหล่านั้น ต้องรับผิดชอบด้วย
ถ้าการบริหารเงินทุนเกิดผลเสียต่อบริษัท
ไม่ใช่ได้ประโยชน์แต่อย่างเดียว
ถาม: แล้วคุณคิดว่าจะทำอย่างที่คุณว่าได้จริงๆหรือ
บัฟเฟต : ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สิ่งที่น่าจะเปลี่ยนได้ คือการทำให้ผู้บริหาร
สถาบันการเงินเหล่านั้นดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น
โดยมองถึงผลบวกและผลลบของการตัดสินใจ
ในการทำธุรกิจ ไม่ใช่ดูแต่ด้านบวกเพียงอย่างเดียว
เราได้บทเรียนจากการแห่ตามกันของฝูงชนมาแล้ว
ทุกคนคิดว่าราคาบ้านมีแต่จะเพิ่มขึ้น ทุกคนมอง
แต่ด้านดีโดยไม่ได้นึกว่าผลลบของมันเป็นอย่างไร
เราทำตามเพื่อนบ้าน หรือคนอื่นๆที่ทำเงินได้มากมาย
อย่างง่ายๆ พวกเราสร้างฟองสบู่ลูกนี้ขึ้นมาเอง
และเรื่องราวการตามฝูงชนแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่
อะไรเลย….ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
--------เราซื้อหุ้น ไม่ใช่เพราะคิดว่า เรากำลังจะหลุด
จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในอีกสามเดือนหกเดือน
หรือหนึ่งปีข้างหน้า เราซื้อหุ้นเพราะมันมีมูลค่าที่ดี
ในระยะยาว ผมว่าข้อผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่
คือมักจะสนใจ ในการทำนายผลประกอบการของบริษัท
มากกว่าสนใจในมูลค่าที่แท้จริง--------
บทความ โดย... วิบูลย์ พึงประเสริฐ
No comments:
Post a Comment