**ความระส่ำระสายทางสังคมยังคุกรุ่น**
นักวิเคราะห์จำนวนมากเคยคาดการณ์ว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลก
คราวนี้จะทำให้เกิดความไม่สงบอย่างขนานใหญ่ในหลายๆ ประเทศ
ทั่วโลก โดยอาจรุนแรงถึงขั้นมีการโค่นรัฐบาลลงด้วย แต่พวกเขา
ทำนายผิดไปถนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าคณะผู้นำของจีน
จะสั่นคลอนเนื่องจากเกิดเหตุความไม่สงบอย่างรุนแรง เพราะความจริง
ปรากฏให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
กระนั้นก็ตาม ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ภาวะการว่างงาน
ย่อมเป็นตัวชี้วัดที่จะเดินตามล้าหลังตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ
ดังนั้น กระทั่งเมื่อเศรษฐกิจโลกทำท่าก้าวพ้นวิกฤตร้ายแรงได้แล้ว
ประเทศจำนวนมาก ก็ยังจะมีตัวเลขคนว่างงานในระดับสูง
และปัญหาความระส่ำระสายทางสังคมยังคงเพิ่มทวีขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่อาจเป็นชนวนก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นมา
ได้เช่นกัน ก็คือภาวะเงินเฟ้อในราคาอาหารและราคาเชื้อเพลิง
ในช่วงที่เกิดวิกฤตทั่วโลกนั้น ภาวะลำบากย่ำแย่จากวิกฤต
คือตัวเบรกไม่ให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งทะยานโลดลิ่ว
แต่ในเมื่อเศรษฐกิจโลกกลับฟื้นตัวแล้วเช่นนี้ ราคาอาคาร
และเชื้อเพลิงจึงมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นกัน
*สิ่งที่ต้องจับตามอง
--สถานการณ์ที่จะถึงขั้นเป็นความวิบัติหายนะ สำหรับตลาดการเงิน
ทั้งหลาย ก็คือ เกิดความไม่สงบ ของมวลชนทั่วทั้งประเทศจีน
ถึงขั้นมีอันตรายที่รัฐบาลจะถูกโค่นล้ม ทว่าพวกนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
มองว่า ความเป็นไปได้ในปี 2010 ที่จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นนั้น
มีน้อยสุดๆ กระนั้นก็ตาม เพียงแค่เกิดความไม่สงบพุ่งแรงขึ้นมาในจีน
ก็น่าจะทำให้พวกนักลงทุนสั่นสะท้านแล้ว
--อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไทย, และเวียดนาม เป็นตลาดเศรษฐกิจ
เฟื่องฟูใหม่รายสำคัญอื่นๆ นอกเหนือจากจีน หากเกิดความไม่สงบ
ในตลาดเหล่านี้ ก็อาจขัดขวางการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และยิ่งถ้า
ความไร้เสถียรภาพลุกลามออกไป ก็ย่อมจะส่งผลลบ
ต่อตลาดการเงินในปี 2010
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
4 มกราคม 2553 11:17 น.
No comments:
Post a Comment