Thursday, July 16, 2009

วิถีมหาเศรษฐี !!! ( ลักษณะของคนที่จะเป็นเศรษฐี )

วิถีมหาเศรษฐี....W. Randall Jones

เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town

โดยการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ คุณสมบัติ

นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต

และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่าง ๆ

ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วม

ของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ

มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1) ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้น

คุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ ต่อเมื่อ คุณทำ

ในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง

ทำในสิ่งที่คุณรัก และมีความหลงใหล ที่จะทำ

คุณต้องทำ ในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์

แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้

ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า

ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหา

หรือหมกมุ่น กับผลตอบแทนเกินไป

มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุน

อย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง


2) รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง

ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถ

หรือความเชี่ยวชาญ ที่สุดของตัวเอง

ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว

งานจะไม่ใช่งาน ถ้าคุณทำแล้วมีความสุข

และเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ

วอเร็น บัฟเฟตต์เคยบอกกับซูซี่ อดีตภรรยา

ที่ล่วงลับไป ในตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า

เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนัก

หรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมา

ด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง

และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการ

จัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง


3) เป็นนายของตัวเอง คุณไม่สามารถรวยได้

โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบาย

กับ Value Investor เพราะนักลงทุนนั้น

ทุกคนเป็นนายของตัวเอง


4) เสพติดความทะเยอทะยาน คนเราทุกคน

ต่างก็เสพติดอะไรบางอย่าง หรือหลายอย่างในชีวิต

เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์

ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์

มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน”

ทำอะไรสำเร็จแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด

มันอาจทำให้เรา มีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป

และเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นmควรจะมี

วัตถุประสงค์ชัดเจน และเราจะต้องไม่ปล่อยให้มัน

อยู่เหนือการควบคุมของเรา


5) ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย

ในเรื่องของการทำงานทั่วไป และในฐานะของผู้บริหาร

หรือผู้ประกอบการนั้น ผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง

แต่ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อย

นั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

และเป็นเศรษฐี ได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้

ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง

นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเอง ว่าเก่งทางไหน

ตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน


6) อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย


เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้น

พอเขียนเสร็จ ก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคน

ไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ

ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจ

และเป็นเป้ากว้าง ๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง

พวกเขาเน้น ที่การปฏิบัติ ว่าต้องได้ผล

มากกว่าการตั้งเป้า แต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ

นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution

หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก

ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อย ๆ

นี่แหละความสำเร็จ


7) อย่ากลัวความล้มเหลว ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จ

ก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย

ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอด

โดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น ถ้าเรากลัวความล้มเหลว

เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริง ไม่มีคำว่าล้มเหลว

ยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน

ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด

อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ


8) ทำเลไม่สำคัญ ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่

หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน

คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ต้องย้าย

ไปอยู่เมืองใหญ่หรือเมืองธุรกิจหลัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่าย

การสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ ว่าที่จริง บัฟเฟตต์นั้น

อยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตร

มาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อน ที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก

แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์ค หรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลาง

ทางการเงินและการลงทุน ผมเองคิดว่านักลงทุน

ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพ ถึงจะประสบความสำเร็จ

ในการลงทุน ว่าที่จริง ยิ่งห่างอาจจะยิ่งดี


9) ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด

วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง

แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา”


10) เน้นที่การขาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่า

บางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร

แต่ต้องรู้ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไร

และการขาย เป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัท

และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม

ผมคิดว่า VI จำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบันทัดสุดท้าย

แต่ไม่ค่อยดูยอดขาย ที่เป็นบันทัดแรกในงบการเงิน


11) ขอยืมไอเดียจากคนที่เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด

การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด

อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่า

ไม่มีอะไรมาทดแทนได้


12) ไม่มีวันเกษียณ การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว

การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตราย

ต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว

นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์ และ มังเจอร์

อายุเกือบ 80 ปีแล้วยังทำงานทุกวัน แม้แต่ปีเตอร์ ลินช์

หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวม

แต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่

โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

No comments:

Post a Comment

Custom Search

Followers