Monday, July 20, 2009

หนี้ท่วมเมฆ ชาวโลกลอยคอ?

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชนรายวัน วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11450

เมื่อ พ้นวิกฤตเศรษฐกิจของโลกครั้งนี้แล้ว

หนี้สาธารณะของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะ

ประเทศพัฒนาแล้วจะเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นพิเศษ

ปรากฏการณ์นี้ มีนัยยะสำคัญ หลายประการ

ที่สาธารณชนพึงรับทราบไม่ใช่ แต่ประเทศไทยเท่านั้น

ที่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะ (หนี้ที่รัฐบาล

เป็นลูกหนี้ เนื่องจากกู้มาใช้ เช่น กู้จากประชาชน

ด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาล กู้จากสถาบันการเงิน

ต่างประเทศ ฯลฯ) จะเพิ่ม จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

คือ ประมาณร้อยละ 40 ของ GDP เป็น 50

เป็น 60 หรือแม้แต่ 70 หากยังดื้อยาอย่างยิ่ง

จนต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบ ด้วยรายจ่ายมหาศาล

(ขออย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย เพราะไม่ใช่เรื่องสนุก

แม้แต่น้อย แต่ก็จำต้องทำ)นิตยสาร Economist

ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้ได้นำตัวเลขต่างๆ รวมทั้งที่

IMF ได้คำนวณไว้ มาเปิดเผยอย่างน่าสนใจ

ขอนำข้อมูลบางส่วน มาใช้ในข้อเขียนนี้

10 ประเทศ ที่รวยสุดของโลก จะมีหนี้สาธารณะ

รวมกันเพิ่มจากร้อยละ 78 ของ GDP ในปี 2007

เป็นร้อยละ 106 ในปีหน้า และเป็นร้อยละ 114

ในปี 2014 โดยเฉลี่ย ประชากรแต่ละคนจะมีหนี้

เฉลี่ยคนละ 50,000 เหรียญสหรัฐ (เกือบ 2 ล้านบาท)

สาเหตุที่หนี้เพิ่มมากมาย ระหว่างปี 2007 ถึง 2010

รวมกันถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ก็เนื่องมาจาก

รายจ่ายที่จำเป็น ของภาครัฐในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ

ที่มีสาเหตุ จากเรื่องการเงิน (เช่น อุ้มสถาบันการเงิน

อุ้มอุตสาหกรรมที่จะล้ม อุ้มบริษัทยักษ์ใหญ่ ฯลฯ)

ตลอดจน กระตุ้นเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ ขอยกตัวเลข

ของบางประเทศ ในเรื่องหนี้สาธารณะที่น่าสนใจ

ระหว่างยอดปี 2007 และปี 2014 เช่น ญี่ปุ่น

จะเพิ่มจากร้อยละ 170.6 ของ GDP เป็นร้อยละ 234.2

สหรัฐอเมริกาจะเพิ่มจากร้อยละ 62.9 เป็น 106.7

เยอรมันนีจากร้อยละ 65.5 เป็น 91.0

อังกฤษจากร้อยละ 46.9 เป็น 87.8

เกาหลีใต้จากร้อยละ 28.9 เป็น 51.8

สเปนจากร้อยละ 42.7 เป็น 69.2 ฯลฯ


สำหรับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ มาแรงใหม่

ตัวเลขพยากรณ์ระหว่าง 2009 ถึง 2014 นั้น

มีแนวโน้มจะกลับมาเกือบเท่าเดิมคือร้อยละ 40

ของ GDP หากสถานการณ์เป็นปกติ

และหากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ก็จะอยู่ประมาณ

เกือบร้อย ละ 45 ของ GDP

ส่วนกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในสถานการณ์ปกติ

จะอยู่ที่ร้อยละ 115 ของ GDP ในปี 2014

และในสถานการณ์เลวร้ายสุด จะอยู่ที่ประมาณ

ร้อยละ 150 ของ GDP กล่าวโดยสรุปก็คือ

ในระยะเวลาปานกลางคือ 2009-2014

หลับตาลง ก็จะเห็นแต่หนี้ๆ ๆ ๆ สาธารณะ

ในเกือบทุกประเทศ

คำตอบก็คือแล้วมันจะทำให้เกิดอะไรขึ้น?



จากการศึกษา 14 วิกฤตร้ายแรง

ของสถาบันการเงินในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา

Carmen Reinhart แห่ง University of Maryland

และ Ken Rogoff แห่ง Harvard University

พบว่า(ก) มีการไม่สามารถใช้หนี้คืนบางครั้งเกิดขึ้น

(พันธบัตรครบอายุแต่ไม่มีเงินจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ย

จนต้องต่ออายุออกไปหรือมีวิธีการแก้ไขอื่นๆ)

(ข) เกิดเงินเฟ้อที่รุนแรง

(ค) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง

เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในเวลาต่อมาที่

ขอขยายความก็คือ ข้อ (ข) เงินเฟ้อที่รุนแรง

รัฐบาลบางประเทศเมื่อเก็บภาษีไม่ได้เพียงพอ

กับรายจ่าย ก็มักจ่ายด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม

เพื่อแก้ไขปัญหา (หากเงื่อนไขทางการเมืองเหมาะสม

มีอำนาจบังคับธนาคารกลาง ของประเทศ

ซึ่งเป็นผู้ควบคุมปริมาณเงินให้พิมพ์ ธนบัตรเพิ่ม ฯลฯ)

เมื่อมีปริมาณธนบัตร เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้น ของสินค้าและบริการ

ราคาสินค้า ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เงินเฟ้อรุนแรง

ก็อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อรุนแรง

ที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งเกิดจากความจงใจ ของภาครัฐ

ที่จะลดภาระหนี้สาธารณะ กล่าวคือเมื่อราคาสินค้า

โดยทั่วไปสูงขึ้น มูลค่าหนี้สาธารณะที่แท้จริงก็ลดลง

หรืออธิบายอีกอย่างว่า เมื่อเกิดเงินเฟ้อขึ้น

GDP ที่เป็นตัวเงิน ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สัดส่วนหนี้สาธารณะ ก็จะลดลงเพราะ

ยอดหนี้สาธารณะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

หรืออาจอธิบายว่า เมื่อมีเงินเฟ้อรัฐก็จะเก็บภาษี

ได้มากขึ้น การลดภาระหนี้สาธารณะก็ทำได้สะดวกขึ้น



สำหรับวิกฤตครั้งนี้ เมื่อมีหนี้จนล้นออกมาทางใบหูแล้ว

จะมีอะไรเกิดขึ้นในระยะปานกลางสำหรับบ้านเรา?

คำตอบก็คือ(ก) ปัญหาเรื่องไม่มีเงินจ่ายเมื่อพันธบัตรครบอายุ

มีความเป็นไปได้ต่ำ เพราะรัฐบาลมีลูกเล่นได้ตลอดเวลา

เช่น อาจออกพันธบัตรมาทดแทน ด้วยอัตราดอกเบี้ย

ที่สูงกว่าเก่ามาก คนถือเดิมก็คงพอใจ เพราะหาก

ไม่อยากถือต่อไปก็ขายได้ราคาดี

(ข) อัตราดอกเบี้ยมีทางโน้มที่จะสูงขึ้น เพราะรัฐบาล

ได้แย่งชิงเงินออมของประชาชน ไปจากภาคเอกชน

ที่ต้องการลงทุนเหมือนกัน เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น

สองภาคนี้ ก็จะแย่งชิงกันชัดเจนขึ้น ต่างก็ต้องเสนอ

ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเดิม จนสร้างแรงกดดัน

ให้อัตราดอกเบี้ยขยับตัวขึ้น

(ค) ต้องระวังเงินเฟ้อจากต่างประเทศ เพราะประเทศรวย

อาจใช้วิธีลดภาระหนี้ ด้วยการ จงใจให้ราคาสินค้าทั่วไป

สูงขึ้นดังได้กล่าวถึงแล้ว การจงใจนี้อาจทำทีละเล็กน้อย

หรือมีตัวช่วย คือราคาน้ำมันจ ะขยับสูงขึ้น

(สูงขึ้นแน่นอนในอนาคต สูงขึ้นเท่าใดและเมื่อใดเท่านั้น)

เมื่อประเทศใหญ่มีเงินเฟ้อขึ้น ก็ต้องมีผลกระทบ

ต่อบ้านเราในทิศทางเดียวกันมากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา

มีความเป็นไปได้สูง ที่อสังหาริมทรัพย์จะขยับตัวตามทิศทางนี้

(ง) หากรัฐบาล แย่งชิงทรัพยากรการเงินมากเกินไป

ก็จะมีเหลือ ให้ภาคเอกชนเอาไปลงทุนได้น้อย

สถานการณ์นี้ จะกระทบอัตราการเจริญเติบโต

ของเศรษฐกิจในระยะยาวได้ เนื่องจาก โดยทั่วไป

การลงทุนของภาครัฐมีผลิตภาพ (productivity)

ต่ำกว่าของภาคเอกชน ซึ่งการเจริญเติบโต

ของเศรษฐกิจที่ต่ำ จะนำไปสู่สารพัดปัญหาต่อไป

เช่น การว่างงาน การเก็บภาษีได้ต่ำ

การไม่สามารถ ลดภาระหนี้สาธารณะ

มาตรฐาน การครองชีพ ของประชาชน

ซึ่งวัดโดยรายได้ที่แท้จริงต่อหัวไม่สูงขึ้น ฯลฯ

หนี้ในรูปแบบใด ไม่ว่าหนี้สาธารณะหรือหนี้เอกชน

หรือหนี้ส่วนตัว ล้วนไม่ดีทั้งนั้น เพราะเมื่อยืมมาแล้ว

ต้องใช้คืน และความสามารถในการใช้คืนในอนาคตนั้น

ไม่มีความแน่นอนอย่างไรก็ดี บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็น

ดังเช่นกรณีของหนี้สาธารณะ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

และเพิ่มพูนศักยภาพในการ แข่งขันของประเทศ

ในอนาคต ประเด็นที่ต้องแน่ใจ ก็คือหนี้เหล่านี้

จะต้องมี คุณค่าดังที่ได้ตั้งใจไว้

ไม่ใช่รั่วไหลเป็นน้ำพริกไหลไปตามสายน้ำ

No comments:

Post a Comment

Custom Search

Followers