Monday, January 4, 2010

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2553

คอลัมน์ นอกรอบ โดย นิตินัย ศิริสมรรถการ dr.nitinai@gmail.com

ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4171









ปีวัว (2552) กำลังจะผ่านไป ปีเสือ (2553) กำลังจะเข้ามา

เป็นยังไงกันบ้างครับ ท่านผู้อ่าน ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ช่างมี

ความผันผวน หรือเรื่องไม่คาดฝันทางเศรษฐกิจกันเยอะ

เหลือเกินใช่ไหมครับ ตั้งแต่ปลายปีก่อนคาบเกี่ยวจนถึงต้นปีนี้

โลกเรา ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเราต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ

ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อประกอบกับปัญหาทางการเมืองที่รุมเร้าภายในประเทศเรา

เป็นการเฉพาะแล้วทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเราทรุดดิ่งเหว

กันไปตาม ๆ กัน ...พอมาถึงราวเดือน เม.ย. 52 อยู่ ๆ ก็ดูเหมือน

เศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจบ้านเรากลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

เล่นเอาหักปากกาเซียนไปหลายคนว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่

ดูเหมือนว่าจะยืดเยื้อยาวนาน น่าจะจบลงในระยะเวลาอันสั้น

จนหลาย ๆ ฝ่ายออกมาบอกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

จะเป็นรูปตัว V กล่าวคือ โลกเราจะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

อย่างรวดเร็ว...พอมาปลายปีเรื่องราวกลับพลิกผันอีก...

กรณี Dubai World ที่มีการเลื่อนการชำระหนี้ก็ดี หรือกรณี

ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกรีซที่ทำให้บริษัทจัดอันดับ

ความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ต้องลดอันดับความน่าเชื่อถือ

กรีซลงก็ดี กลับชี้ให้เห็นกันว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ว่า

คงไม่ใช่เป็นรูปตัว V เสียแล้วกระมังครับ.. ตอนนี้แบงก์ชาติ

บางประเทศก็เริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายกันแล้ว (ซึ่งแสดงว่า

เศรษฐกิจประเทศเขาเริ่มร้อนแรงจนต้องมีนโยบายการเงิน

มาลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ และ/หรือ เงินเฟ้อ)

ในขณะที่บางประเทศ (เช่นกรณี ดูไบ หรือกรีซ) ยังมีสัญญาณ

การทรุดตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง... อ้าว สรุปแล้วมันยังไง

กันแน่ครับ เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจบ้านเรามันจะฟื้นหรือ

ไม่ฟื้นกันแน่ครับ ? นั่นสิครับ นี่คงเป็นคำถามใหญ่สำหรับเศรษฐกิจ

ปีหน้าครับ เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงมากหลังจากวิกฤตครั้งนี้

แถมปัจจัยภายในประเทศเราก็มีแต่ความไม่แน่นอน ปีหน้าคงผันผวน

เอาเสียมาก ๆ จริง ๆ ครับ


เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงยังไงหรือครับ...ลองมาดูกันครับ...

ประเทศอเมริกาต้นตอของปัญหาวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้

ทุกคนก็ต้องยอมรับว่า เขาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

ของโลก โดยมีขนาดเศรษฐกิจราว 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด

ความมั่งคั่งของประเทศนี่ ไม่ต้องพูดถึงครับ ก่อนจะเจอวิกฤต

เขามีความมั่งคั่งรวมถึง 64 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ

2.1-2.2 พันล้านล้านบาท ขนาดเศรษฐกิจไทยเราประมาณ 10 ล้านล้านบาท

นั่นหมายถึงว่าเท่ากับ GDP ไทยเรา 200 กว่าปีครับ ...

พอเขาเจอวิกฤตความมั่งคั่งของเขาหายไป 14 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.

หรือเท่ากับ GDP ของเขาประมาณ 1 ปีพอดี...

เจอวิกฤตครั้งนี้ คนอเมริกันจนลงเยอะเลยนะครับ...ปกติเมื่อก่อน

ถ้าเรารวย ๆ อยู่ เคยใช้เงินฟุ่มเฟือย พออยู่ ๆ เราจนขึ้นมา

เราจะเป็นยังไงกันบ้างครับ ? ที่เคยฟุ้งเฟ้อก็ต้องเลิกฟุ้งเฟ้อกันใช่ไหมครับ ..

คนอเมริกันก็เป็นคนครับ ก็ไม่ต่างจากเรา เมื่อก่อนเค้ามีรายได้ 100 บาท

เขาออมกันประมาณบาทเดียว ตอนนี้ต่างแล้วครับ หลังจากวิกฤต

เขาออมกัน 4-5 บาทแล้วครับ (สูงสุดในรอบราว 30 ปี) ก็เป็นธรรมดาครับ

ความมั่งคั่งหายไปมาก ก็ต้องเริ่มอดออมสร้างฐานะกันใหม่ครับ



ออมกันเยอะ ก็หมายความว่าบริโภคกันน้อย...การบริโภคที่น้อยลงนี้

จะทำให้เราคาดหวังว่าเราจะส่งออกไปอเมริกาได้มากเหมือนเดิม

คงไม่ได้แล้วหละครับ...พวกรวยเก่าไม่ใช่เฉพาะประเทศอเมริกา

แต่หมายถึงในอีกหลาย ๆ ประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ที่เคยเป็น

ตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลกที่สำคัญหมดสตางค์กันแล้ว

และคงจนกันไปอีกนานครับ...แล้วอย่างนี้ ตอนนี้เศรษฐกิจโลก

มันฟื้นขึ้นได้ยังไงครับ ? คำตอบกำปั้นทุบดินก็คือ โลกเราต้องมี

ผู้นำทางเศรษฐกิจใหม่น่ะสิครับ...ประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market

: EM) ครับ ที่นำเศรษฐกิจโลกอยู่ตอนนี้

(ดูกราฟ)


บทความวิจัยของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์

(SCB EIC) เขาทำไว้น่าสนใจครับ SCB EIC ได้วิเคราะห์ไว้ว่า

ตั้งแต่หลังวิกฤตการเงินโลกเป็นต้นไป Landscape ทางเศรษฐกิจโลก

จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กลุ่มประเทศที่จะเป็นผู้นำในการฟื้นตัว

ของเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤตเศรษฐกิจ จะเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

(Emerging Markets) มากกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนา (Developed Markets)

ครับ การเปลี่ยนแปลงใน Lanscape นี้จะทำให้มีการเปลี่ยน

ในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกทั้งสินค้าและบริการของไทย

จาก Electronic Products และ Garment ที่เคยนำตลาด

จากการนำเข้าของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มาเป็นอุตสาหกรรม

Electronic Products, Rubber และ Auto Parts ที่จะส่งออก

ไปยังประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น ในทางกลับกัน พึงต้องจับตา

มองการปรับตัวของอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมที่เคยพึ่งพิง

ตลาดประเทศกลุ่มที่พัฒนาแล้วและไม่สามารถเจาะกลุ่มตลาด

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้ เช่น โรงแรมระดับ 4-5 ดาว

ที่ในปีหน้า (2553) อาจจำเป็นต้องมีการแข่งขันด้านราคาสูง

เพื่อกระตุ้นอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้น โดยเราคาดว่าในปีหน้า (2553)

ราคาห้องพักของโรงแรมระดับ 4-5 ดาวจะปรับตัวลงมาในระดับ

ที่สูงกว่าโรงแรมระดับ 3 ดาวไม่มากอย่างในปัจจุบันครับ...

ในทางกลับกัน ก็มีอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมที่เมื่อก่อน

ประเทศพัฒนาไม่ได้ต้องการมากนัก แต่ปัจจุบันเป็นที่ต้องการ

ของประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก เช่น น้ำมันดิบ ยางพารา

ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ อุตสาหกรรมพวกนี้จะเป็นอุตสาหกรรม

ดาวเด่นทั้งด้านยอดขายและราคา...ลองจับตาดูกันไว้นะครับ


ลองมาดูเศรษฐกิจในประเทศบ้างนะครับ สำหรับเศรษฐกิจ

ภายในประเทศแล้ว SCB EIC คาดว่าปี 2553 เศรษฐกิจไทย

จะขยายตัวได้ในระดับ 3.5% - 4.0% โดยมีโอกาสที่จะขยายตัว

อยู่ในระดับประมาณ 3.7% ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกต คือในการขยายตัว

3.7% นี้จะมาจากแรงขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม และภาคที่เกี่ยว

เนื่องกับอุตสาหกรรมถึง 1.8% และ 0.8% ตามลำดับ...

ตรงนี้น่าสนใจครับ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงถึง 40%

และภาคที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมมีสัดส่วนถึง 25% ในเศรษฐกิจไทย

จึงไม่น่าแปลกที่การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าที่ระดับประมาณ 3.7%

จึงจะถูกขับเคลื่อนจาก 2 ภาคนี้รวมกันถึง 2.6% ดังนั้นเราคงต้องจับตา

ดูปัญหามาบตาพุดซึ่งจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด

ต่อไปนะครับ ถ้าปัญหานี้ยืดเยื้อหรือขยายวงกว้าง โอกาสที่เศรษฐกิจไทย

จะทรุดตัวไม่เป็นไปอย่างที่หลาย ๆ ฝ่ายคาดก็มีมากครับ


ลองมาดูด้านราคากันบ้างครับ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation)

เฉลี่ยในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.0% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไป

(Headline Inflation) เฉลี่ย 2.5% โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไป

จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนในเดือนธันวาคม 2552 น่าจะไต่ระดับ

ขึ้นไปถึงราว ๆ ใกล้เคียง 4% และน่าจะอยู่ในระดับประมาณนี้

ไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยหลัก

2 ประการได้แก่

1. ดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 อยู่ในระดับต่ำ

และ 2.การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าหลังปีใหม่น่าจะเริ่มปรับตัว

เพิ่มขึ้นอีกรอบหนึ่งครับ


สำหรับอัตราดอกเบี้ย ก็คาดว่า ธปท.ยังคงน่าจะคงนโยบาย

อยู่ในระดับนี้ไปจนถึงครึ่งหลังของปี 2553 ทั้งที่ล่าสุด

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อค่อนข้างสูง

ในช่วงไตรมาสนี้ และไตรมาสหน้า จากเหตุผลที่กล่าวข้างต้นครับ

แต่จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งที่ผ่านมา

ยังไม่มีสัญญาณการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต

อันใกล้แต่อย่างใด ซึ่งโดยปกติแล้วหากแบงก์ชาติรู้ว่าเงินเฟ้อ

กำลังจะมา เขาก็จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นเพื่อสกัดกั้น

เงินเฟ้อไว้ก่อนครับ แต่นี่แบงก์ชาติคงเห็นว่าเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในช่วงไตรมาสนี้ ไตรมาสหน้าจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวกระมังครับ

จึงไม่มีความกังวลมากถึงกับต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว


สุดท้ายครับ คงหนีไม่พ้นแนวโน้มค่าเงินบาท...แม้ช่วงเดือน ธ.ค. 2552 นี้

ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. จะเริ่มกลับมาแข็งตัวขึ้นบ้างจากความกังวลต่าง ๆ นานา

ทั้งกรณีปัญหา ดูไบเวิลด์ ปัญหาประเทศกรีซ รวมไปถึงการที่เริ่มมีเงินไหลกลับ

เข้าประเทศสหรัฐ เพื่อไปซื้อสินทรัพย์ที่เริ่มขายจากกระบวนการประนอมหนี้

แต่ก็ยังคาดว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ. หลังจากปีใหม่ไปจนตลอดทั้งปียังอยู่ใน

ทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. นี้เอง

จะส่งผลให้แนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องไปในปี 2553

ทั้งนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่ต่ำจนเกือบเป็นศูนย์

ประกอบกับการอัดฉีดเม็ดเงินอย่างมหาศาลจากธนาคารกลางสหรัฐ

รวมทั้งการขาดดุลงบประมาณการคลังในระดับสูงในปีที่ผ่านมา และจะต่อเนื่อง

ไปยังปีที่กำลังจะมาถึงครับ


สรุปกันเลยดีกว่าครับ...สรุปแล้วปีหน้าแม้ GDP ไทย

จะพลิกฟื้นกลับจากการติดลบกว่า -3.0% มาเป็นบวก

เกือบ 4.0% ได้ แต่ต้องยอมรับครับ ว่าเศรษฐกิจไทย

พึ่งพิงแรงขับเคลื่อนจากไม่กี่แหล่ง ?. แหล่งในประเทศ

ก็พึ่งพิงการอัดฉีดเงินจากรัฐบาล และหากดูฝั่งการผลิต

ก็พึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมและภาคที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม

...ประเทศเราทะเลาะกันจนบ้านเมืองไม่ไปไหนครับ...

ปีหน้าความอึมครึมในประเทศทั้งปัญหาด้านข้อกฎหมาย

ทั้งปัญหากีฬาสี ก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจเราอยู่

อย่างต่อเนื่อง...เมื่อหันไปดูภาคต่างประเทศ...เศรษฐกิจโลก

ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เศรษฐกิจโลกเริ่มเห็นสัญญาณ

ชัดเจนของการเปลี่ยนขั้วผู้นำทางเศรษฐกิจ จากประเทศ

มหาอำนาจเก่า มาเป็นประเทศกำลังพัฒนา...ประเทศเรา

เป็นประเทศที่มีการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจสูงกว่า 100%

ของ GDP จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เศรษฐกิจเราจะผันผวนไปตาม

เศรษฐกิจโลกครับ...ปีหน้าความผันผวนยังมีต่อไปครับ...

พี่น้องชาวไทยจะลงทุนอะไรผมว่าคงต้องพิจารณาเลี่ยง ๆ

การลงทุนที่กล้าได้กล้าเสีย (high risk high return) หน่อยนะครับ

ปลอดภัยไว้ก่อนครับ สวัสดีปีใหม่ ขอให้ทุกคนรวย ๆ สุขภาพกาย
สุขภาพจิตแข็งแรงครับ

No comments:

Post a Comment

Custom Search

Followers